ในยุคที่เราจ้องจอวันละหลายชั่วโมง ไม่ว่าจะทำงาน ดูซีรีส์ หรือเล่นมือถือ
คำว่า “แสงสีฟ้า” (Blue Light) กลายเป็นประเด็นฮิต
หลายคนหันมาใช้ฟิล์มกรองแสงสีฟ้า, โหมดถนอมสายตา, หรือแม้แต่แว่นตากรองแสงสีฟ้า มันช่วยจริงไหม? หรือเป็นแค่กระแส?
แสงสีฟ้าคืออะไร?
แสงสีฟ้า (Blue Light) เป็นคลื่นแสงพลังงานสูงที่มีความยาวคลื่นสั้น
พบได้ทั้งจากธรรมชาติ (เช่น แสงแดด) และแหล่งแสงที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น
- หน้าจอคอมพิวเตอร์
- สมาร์ตโฟน
- แท็บเล็ต
- หลอด LED
แม้จะมีประโยชน์ในช่วงกลางวัน เช่น ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว แต่การรับแสงสีฟ้ามากเกินไป โดยเฉพาะเวลากลางคืน อาจส่งผลต่อสุขภาพ
ผลกระทบของแสงสีฟ้าต่อสายตา
งานวิจัยหลายฉบับชี้ว่า “แสงสีฟ้าในระดับที่ใช้กับจอทั่วไป ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าทำให้ตาบอดหรือเสียถาวร” แต่สิ่งที่ เกิดขึ้นจริงแน่ๆ คืออาการเมื่อยล้าดวงตา (Digital Eye Strain) เช่น
- ตาแห้ง แสบตา
- มองภาพไม่ชัด
- ปวดหัว ปวดเบ้าตา
- นอนไม่หลับ หากใช้จอก่อนนอน
แว่นกรองแสงสีฟ้า / ฟิล์มลดแสงสีฟ้า ช่วยได้จริงไหม?
คำตอบคือ: “ช่วยบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”
- แว่นกรองแสงสีฟ้าช่วยลดการกระทบของแสงต่อจอตาโดยตรง โดยเฉพาะคนที่ใช้งานหน้าจอเป็นเวลานาน
- ฟิล์มหรือโหมดถนอมสายตาช่วยลดคอนทราสต์ของจอ ทำให้มองสบายขึ้น
- แต่ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าช่วยป้องกันโรคตาเรื้อรังหรือความเสียหายต่อจอตาได้
ดังนั้นอุปกรณ์เหล่านี้ “ช่วยให้สบายตาขึ้น” แต่ ไม่ได้แทนที่การพักสายตาและการดูแลสุขภาพดวงตาโดยรวม
วิธีลดผลกระทบของแสงสีฟ้าอย่างได้ผลจริง
ไม่ใช่แค่พึ่งแว่นหรือฟิล์มเท่านั้น ลองทำตามนี้เพื่อดูแลดวงตาให้ครบ
- กฎ 20-20-20: ทุก 20 นาที มองไปไกล 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) นาน 20 วินาที
- ลดความสว่างของหน้าจอให้อยู่ในระดับพอดี
- ใช้โหมดถนอมสายตาหรือ Night Mode โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- ปรับระยะห่างหน้าจอ ให้อยู่ห่างจากตาประมาณ 50–70 ซม.
- พักสายตาจริงๆ — ปิดหน้าจอ ลุกเดิน เปลี่ยนกิจกรรม
- ดื่มน้ำเยอะๆ และกระพริบตาบ่อยขึ้น เพื่อลดอาการตาแห้ง
ลดแสงสีฟ้า = จริงจังเรื่องสุขภาพตา ไม่ใช่แค่เทรนด์
การลดแสงสีฟ้าไม่ได้แค่ตามกระแสแฟชั่น แต่เป็น เครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้เราใช้งานหน้าจอได้อย่างปลอดภัยขึ้น
แม้จะยังไม่มีหลักฐานฟันธงว่าช่วยป้องกันโรคตาในระยะยาว แต่ การใช้ร่วมกับการพักสายตาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ดวงตาของคุณทำงานได้ดีและสบายมากขึ้นแน่นอน